แหวนรอง & แหวนล็อค

แหวนรอง & แหวนล็อค

แหวนรอง (Washers) โดยทั่วไปใช้เพื่อกระจายน้ำหนักของสลักภัณฑ์ เช่น สกรูหรือหัวน็อต แหวนรองมีให้เลือกในหลากหลายรูปทรง ขนาด วัสดุ และยังมีหลายวัตถุประสงค์ เช่น ช่วยป้องกันความเสียหายต่อผิวที่ยึด, ลดแรงเสียดทานระหว่างกระบวนการขัน, และช่วยป้องกันการคลายตัวภายใต้การสั่นสะเทือน แหวนรองยังมีในรูปแบบพิเศษ เช่น แหวนล็อคที่ช่วยให้น็อตและโบล์ทไม่หมุนได้ และแหวนสปริงที่ให้แรงกดต่อเนื่องกับอุปกรณ์ยึดเพื่อป้องกันการคลายตัว

แหวนสปริง

แหวนอีแปะ

แหวนล็อคนอก

แหวนล็อคใน

แหวนจักรใน

แหวนจักรนอก

แหวนตัวอี

ข้อมูลทางเทคนิค

วัตถุดิบในการผลิตสกรูน็อต (Nut Screw)

เหล็กคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Steel) สกรูน็อตที่มีส่วนผสมของธาตุคาร์บอนน้อยกว่า 0.25% ซึ่งจะมีค่า Tensile Strength อยู่ที่ 60,000 - 80,000 psi (410 - 550 MPa) โดยสกรูน็อตที่ผลิตจากเหล็กคาร์บอนต่ำ จะมีคุณสมบัติเด่นในการขึ้นรูปและเชื่อมโลหะได้ดี มาพร้อมความทนทานและมีราคาย่อมเยากว่าเหล็กชนิดอื่น ๆ โดยน็อตสกรูที่มีเกรดความแข็งอยู่ที่ 4.6, 4.8 และ 5.8 มักจะผลิตจากเหล็กคาร์บอนต่ำ เช่น เหล็กเกรด 1006, 1010, 1016, 1018, 1022, และ 1035

เหล็กคาร์บอนปานกลาง (Medium Carbon Steel) สกรูน็อตที่มีส่วนผสมของธาตุคาร์บอนระหว่าง 0.25% - 0.60% ซึ่งจะมีค่า Tensile Strength อยู่ที่ 100,000 - 120,000 psi (690 - 830 MPa) โดยสกรูน็อตที่ผลิตจากเหล็กคาร์บอนปานกลาง สามารถเพิ่มความแข็งได้ด้วยการนำไปผ่านกระบวนการชุบแข็ง หรือ Heat Treatment ได้ ซึ่งสลักภัณฑ์ที่มีเกรดความแข็งอยู่ที่ 8.8 มักจะผลิตจากเหล็กคาร์บอนปานกลาง เช่น เหล็กเกรด 1038, 1541, 5132 และ 5135

เหล็กกล้าผสม หรือ เหล็กอัลลอย (Alloy Steel) สกรูน็อตเหล็กที่มีส่วนผสมของโบรอน แมงกานีส โครเมียม ซิลิคอน และธาตุอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ช่วยให้เหล็กอัลลอยมีคุณสมบัติในด้านความแข็ง ความเหนียว,ความทนทานต่ออุณหภูมิสูง และการขึ้นรูป ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงทำให้เหล็กอัลลอยมักถูกนำไปผลิตสินค้าที่มีเกรดความแข็งอยู่ที่ 10.9 และ 12.9 อีกทั้งยังทำให้น็อตสกรูที่ผลิตจากเหล็กกล้าผสมหรือเหล็กอัลลอยนี้ มีค่า Tensile Strength ที่มากกว่า 150,000 psi (1034 MPa)

เหล็กสแตนเลส (Stainless Steel) เหล็กสแตนเลสที่นำมาผลิตเป็นน็อตสแตนเลส สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้ดังนี้ ออสเตนนิติก (Austenitic), มาร์เทนซิติก (Martensitic), และเฟอริติก (Ferritic)

1. สแตนเลสออสเตนนิติก (Austenitic Stainless Steel) มีส่วนผสมของโครเมียมอยู่ที่ 15% - 20% และนิกเกิลอยู่ที่ 5% - 19% ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติในการทนทานต่อการกัดกร่อนของสนิมได้ในระดับที่สูงกว่าเหล็กสแตนเลสอีก 2 ชนิด มาพร้อมค่า Tensile Strength อยู่ระหว่าง 72,000 - 115,000 psi (500 - 800 MPa) โดยเหล็กสแตนเลสเกรด 18-8 ถือเป็นเกรดที่ใช้ผลิตสกรูน็อตสแตนเลสกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีส่วนผสมของโครเมียมเฉลี่ย 18% และนิกเกิล 8% โดยจะประกอบไปด้วยสแตนเลสเกรด 302, 303, 304 และ 316

2. สแตนเลสมาร์เทนซิติก (Martensitic Stainless Steel) มีส่วนผสมของโครเมียมอยู่ที่ 12% - 18% ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กและสามารถนำไปชุบแข็งด้วยความร้อนได้ แต่ไม่เหมาะกับงานเชื่อมโลหะ โดยสกรูน็อตสแตนเลสที่มีส่วนผสมของมาร์เทนซิติกมักถูกนำไปใช้ในงานที่มีสภาพแวดล้อมที่ก่อเกิดสนิมในระดับปานกลาง โดยจะประกอบไปด้วยสแตนเลสเกรด 410, 416, 420, และ 431

3. สแตนเลสเฟอริติก (Ferritic Stainless Steel) มีส่วนผสมของโครเมียมอยู่ที่ 15% - 18% ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กคล้ายกับสแตนเลสมาร์เทนซิติก แต่ไม่สามารถนำไปชุบแข็งด้วยความร้อนหรือใช้ในงานเชื่อมโลหะได้ โดยเหล็กสแตนเลสในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยสแตนเลสเกรด 430 และ 430F

การชุบผิว (Surface Treatment)

การชุบสังกะสีด้วยไฟฟ้า (Electro-Galvanization) เป็นกระบวนการที่เคลือบชั้นบางๆ ของสังกะสีลงบนผิวของชิ้นส่วนโลหะ โดยทั่วไปเป็นเหล็กหรือเหล็กกล้า เพื่อป้องกันการกัดกร่อน กระบวนการนี้ใช้กระแสไฟฟ้าในการเคลือบสังกะสีจากสารละลายลงบนผิวโลหะ สังกะสีทำหน้าที่ถูกกัดกร่อนแทนเนื้อโลหะที่อยู่ใต้ชั้นเคลือบ การชุบสังกะสีด้วยไฟฟ้าถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงยานยนต์ ก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับส่วนประกอบที่ต้องการการป้องกันการกัดกร่อนในระดับปานกลางด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ

การชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน เป็นกระบวนการที่ชิ้นส่วนโลหะ โดยทั่วไปเป็นเหล็กหรือเหล็กกล้า ถูกจุ่มลงในสังกะสีเหลวเพื่อให้เคลือบด้วยสังกะสีเพื่อป้องกันการกัดกร่อน วิธีการชุบนี้ตะต้องมีการทำความสะอาดผิวโลหะโดยการล้างไขมัน และใช้สารละลายฟลักซ์ จากนั้นจึงจุ่มลงในอ่างของสังกะสีเหลว ซึ่งส่งผลให้ได้ผิวเคลือบที่แข็งแรง ทนต่อการขูดขีด การชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อนถูกใช้อย่างแพร่หลายสำหรับโครงสร้างเหล็ก เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง รั้ว และการใช้งานอื่นๆ ที่ต้องการความทนทานและความต้านทานต่อสภาพอากาศ

ดูเพิ่มเติม